“บุรีรัมย์มีอะไรน่าเที่ยวบ้างน้อง”
นี่คือคำถามยอดฮิตจากแขกผู้มาเยือนหลายๆ คน ที่ติดอยู่ในสมองผมมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น เพราะถึงผมจะเป็นคนบุรีรัมย์โดยกำเนิด แต่ผมก็ยังไม่สามารถบอกคนเหล่านั้นได้เลยว่าเมืองจากอีสานใต้แห่งนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง อาจเป็นเพราะผมได้เห็นแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับมันอีก พาลให้ไม่กล้าแนะนำกับนักท่องเที่ยว เพราะกลัวว่ามันอาจจะไม่น่าตื่นเต้น หรือมันอาจจะดูน่าเบื่อสำหรับพวกเขา
แม้วันนี้จังหวัดบุรีรัมย์จะเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ผมก็ยังได้รับคำถามเดิมๆ แบบนี้จากเพื่อนอีกหลายคน วันนี้ผมเลยมีความคิดที่จะมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวบางส่วน (ขอย้ำว่าบางส่วน) ของบุรีรัมย์ให้ทุกคนได้รู้จัก บังเอิ๊ญ..บังเอิญ ผมมีโอกาสที่จะต้องต้อนรับเพื่อนที่อยู่ๆ ก็อยากจะมาเที่ยวบ้านเกิดของผมซะงั้น ก็เลยถือโอกาสมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวคร่าวๆ ให้ทุกคนได้ทราบเลยแล้วกันครับ
ภารกิจแรกที่ผมได้รับจากไอ้คุณเพื่อน คือการไปรอรับมันที่สถานีรถไฟ ตอน 6.02 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ “ S h i p หาย ” สำหรับผมมากๆ ตอนแรกผมก็บ่นมันไปว่า “เมิงหางานมาให้กูแท้ๆ นี่วันหยุดกูเลยนะ” แต่เอาวะ...ไหนๆ ก็ไหนๆ ได้โอกาสโชว์ของดีจังหวัดซะเลย ว่าจังหวัดที่ถูกขนานนามว่า “เซราะกราว” (ภาษาเขมร = บ้านนอก) ก็มีดีเหมือนกัน
ผมตื่นเช้ามารอรับมันตามนัดครับ ถึงสถานี 6 โมงเป๊ะ แต่พอมาถึง...นายสถานีรถไฟความเร็วสูงแห่งประเทศไทยที่จะนำพาแขกระดับ VIP (ย่อมาจาก Very Innocent Person) ก็ได้ประกาศเสียงตามสายมาว่าขบวนรถของเพื่อนผมจะมาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด 28 นาที ตามเวลาในประเทศไทย อืม...เซ็งเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร ถ่ายรูปรอก็แล้วกัน
พอใกล้จะถึงเวลาที่นายสถานีประกาศ ก็มีเสียงตามสายขึ้นมาอีกครั้งว่า ว่า ว่า ...รถไฟขบวนที่ผมกำลังรอ จะมาถึงในอีก 20 นาที... ีใจจัง มีเวลาถ่ายรูปเพิ่มอีกตั้ง 20 นาทีแน่ะ (หราาา.....)
จากง่วง ก็กลายเป็นไม่ง่วง รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ รอจนเบื่อ รอจนไม่ง่วง เอาดิเอา
และแล้ว...ขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ-อุบลฯ ที่ผมรอคอยเธอมาแสนนาน ทรมานวิญญาณหนักหนา ระทมในอุรา แก้วกานดาฉันปองเธอผู้เดียว… ก็พุ่งทะยานสู่ชานชาลาอย่างสง่าผ่าเผย ความรู้สึกผมราวกับพบซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังตามหามานานแสนนาน
คำถามแรกที่ผมถามเพื่อนเมื่อเจอหน้ามันคือ…“ทำไมเมิงไม่มารถทัวร์วะ เดี๋ยวนี้ดีจะตาย ทั้งสะดวก ทั้งเร็ว” แต่มันก็แค่บอกว่า ที่บ้านมันส่วนมากถ้าไม่ได้ไปด้วยรถส่วนตัว ตัวเลือกรองลงมาก็คือ “รถไฟ” ซึ่งแน่นอน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นรถไฟ แต่มันก็คงมีเหตุผลของมัน เหมือนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่นั่งรอนอนรออยู่ที่สถานีรถไฟนั่นแหละ ...ถึงรถไฟจะเป็นพาหนะที่พาเราไปถึงจุดหมายได้ล่าช้าในสายตาผม แต่มันก็ยังเป็นทางเลือกหลักของคนส่วนหนึ่งอยู่ดี
รถไฟเจ้ากรรม นำพาผู้คน ถึงจะช้าสุดทน แต่ก็ส่งผู้คนให้ปลอดภัย….
ผมเชื่อว่าคนที่เคยนั่งรถไฟน่าจะนึกสภาพคนที่เดินทางไกลด้วยรถไฟออกว่ามันสะบักสะบอมแค่ไหน อย่ากระนั้นเลย.. ขอพามันไปเติมพลังก่อนดีกว่า ว่าแล้ว...ผมจึงพามันมาที่ร้านอาหารเวียดนามร้านหนึ่งกลางเมือง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยมากินร้านนี้เหมือนกัน ก็ดี..ถือโอกาสลองของใหม่ซะเลย
ร้านนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามครับ ตั้งอยู่มุมสี่แยกไฟแดงวัดกลาง เปิดตั้งแต่ 6.00–18.00 น. มีอาหารให้เลือกรับประทานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุดอาหารเช้า หรือเกาเหลา ก๋วยจั๊บ แหนมเนือง มีอีกเยอะผมก็จำไม่ได้ เอาเป็นว่าท่านไหนอยากลองอาหารเวียดนามก็แวะเวียนมาได้นะครับ…
หลังจากที่เราเติมพลังกันจนเสร็จ ผมก็พาแขกผู้มาเยือนไปอาบน้ำ-พักผ่อนอีกนิดหน่อย เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางตามแพลนที่วางไว้กันเลย
สถานที่แรก...ผมพาแขกผู้มาเยือนไปยัง “ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์” เพื่อสักการะศาลหลักเมืองเพื่อกราบไหว้ ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลสักหน่อย
ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์อยู่บริเวณถนนหลังวัดกลางพระอารามหลวง ตั้งเด่นเป็นที่สังเกตได้ง่ายแก่ผู้คนที่สัญจรไปมาในบริเวณนั้น
ศาลหลักเมืองของบุรีรัมย์จะไม่เหมือนกับของจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากเรามีเสาหลักเมืองถึง 2 เสา เสาที่นอนตะแคงอยู่เป็นเสาเดิมซึ่งเกิดการชำรุดเสียหายไป ส่วนเสาที่ตั้งอยู่เป็นเสาที่ทำมาใหม่เพื่อทดแทนเสาเดิม แต่ก็ยังคงหลักเดิมไว้ให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากกราบไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จแล้ว ผมก็ต้องปลุกปล้ำขืนใจ (แอร๊ยยย) แขกผู้มาเยือน ให้เดินทางไปพบกับอีกหนึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวงการฟุตบอลไทย ที่มีนามว่า "ปราสาทสายฟ้า" ฉายา "นรกทีมเยือน" ของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรอันดับสอง (หราาา) ของประเทศไทย... นั่นเอง!
สนามฟุตบอลแห่งนี้ คือรังเหย้าของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับทีมในดวงใจของแขกผู้มาเยือนของผมอย่างคู่คี่ สูสีกันทุกฤดูกาล (เพื่อนผมเป็นแฟนบอลของทีมดังอีกทีมในไทยลีก ใบ้สั้นๆ ว่า ทีมนี้มีเสื้อเหย้าสีแดง มีรังเหย้าอยู่ในย่านเมืองทอง มีมือโกลที่มีฉายาว่า ...บินได้ - โอ๊ะๆ...ใบ้แค่นี้ดีกว่ากลัวจะง่ายเกินไป 555 - ขำๆ นะครับ ยังไงเราก็เพื่อนกัน)
สนามแห่งนี้มีชื่อว่า..ว่า...ว่า “ไอ–โมบาย สเตเดียม” ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลแบบไม่มีลู่วิ่งที่ได้มาตรฐานต่างๆ ครบถ้วนที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลก ที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน อีกด้วย…
สนามแห่งนี้เปิดให้เข้าชมสนามฟรีทุกวัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่สนามคอยอธิบาย และพาเราไปชมทุกจุด ทุกห้อง ทุกมุมของสนาม เอ่อ..ยกเว้นห้องทำงานของท่านประธานสโมสรท่าน “เนวิน ชิดชอบ” นะครับ 555
บุกเข้ามาถึงห้องแต่งตัวของทีมเหย้า เราก็ได้พบกับล็อคเกอร์ตัวหนึ่งติดรูป “พี่อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน” แบ็คซ้ายยอดฝีมือแบบหาตัวจับยาก คนไทยคนเดียวที่ติดทีมยอดเยี่ยม AFC แหม่... เห็นพี่อุ้มแล้วพวกผมนี่ถึงกับชาบูเลย ชาบู ชาบู ชาาาาบู...ชิ !
ร้านขายของที่ระลึกของสโมสรมีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ ที่สำคัญที่นี่ยังขายเสื้อถูกกว่าราคาป้าย ผมว่านี่คือคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ จากสโมสรที่ให้กับแฟนบอลและแขกผู้มาเยือน เพราะแค่ปีที่แล้วปีเดียว บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถขายเสื้อแข่งขันได้มากที่สุดถึง 4 แสนตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติขายได้มากที่สุดในเมืองไทย ณ ขณะนี้
หลังจากพาไปดูสนามฟุตบอลแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งที่ ก็คือ “สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของสนามฟุตบอล ซึ่งก็ให้เข้าชมฟรีเช่นกันในวันที่ไม่มีการแข่งขัน ใครที่อยากได้อารมณ์ของซูเปอร์สปอร์ต ผมว่าคุณหาได้จากที่นี่แน่ๆ
แล้วก็เช่นเคย สนามแห่งนี้เป็นสนามแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ ว่าเป็นสนามแข่งรถระดับมาตรฐาน เอฟไอเอ เกรด 1 ซึ่งเป็นระดับสนามที่อนุญาตให้ใช้จัดการแข่งขันรถ “ฟอร์มูล่า วัน" ได้ แล้วยังได้รับการรับรองจากสมาพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ ว่าเป็นสนามแข่งรถระดับมาตรฐาน เอฟไอเอ็ม เกรด เอ ซึ่งเป็นระดับสนามที่อนุญาตให้ใช้จัดการแข่งขันโมโตจีพีได้อีกด้วย
นอกจากนี้ สนามแห่งนี้ยังเป็นสนามเดียวในโลกที่แกรนด์สแตนสามารถชมการแข่งขันได้ทั้งหมด มองเห็นได้ทั้งสนาม ทุกโค้ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท่านประธานเนวิน ชิดชอบ ได้ไอเดียมาจากการชมฟุตบอล ซึ่งผมว่ามันเจ๋งมากๆ เลยทีเดียว
บุรีรัมย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีภูเขาไฟเยอะที่สุดในประเทศ โดยมีมากถึง 6 ลูกด้วยกัน โดยสถานที่ที่ผมจะพาแขกผู้มาเยือนไปเที่ยวชมก็คือ "ภูเขาไฟกระโดง" เดิมชื่อ “พนมกระดอง” เป็นภาษาเขมร แปลว่า "ภูเขากระดอง” ที่ตั้งว่ากระดอง เพราะลักษณะของภูเขาเหมือนกระดองเต่า ต่อมาเรียกเพี้ยนจึงเป็น “กระโดง”
บนยอดเขากระโดงมีพระพุทธรูปประจำเมืองประดิษฐานอยู่ มีนามว่า “พระสุภัทรบพิตร” องค์พระหันหน้าเข้าตัวเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาดูวิวจังหวัดบุรีรัมย์จากบนนี้ได้
มีเรื่องเม้าท์ต่อๆ กันมาว่า “ถ้าเป็นแฟนกันห้ามพามาเที่ยวเขากระโดง เพราะจะเลิกกัน” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ได้แต่ภาวนาว่าถ้าเป็นเพื่อนกันคงไม่ถึงกับเลิกคบกันนะ 555
บนภูเขาไฟกระโดงเรายังพบหินอัคนีพุ เป็นหินที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เกิดจากลาวา และน้ำ ผสมกันทำให้ลาวาเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ลักษณะของหินมีรูพรุนไม่ทะลุกัน ทำให้สามารถลอยน้ำได้
บนเขากระโดงยังมีเครื่องเล่นให้เด็กเล่นอีกด้วย อย่าว่าแต่เด็กเลย ผมยังไปลองเล่นเลย มันก็สนุกและตื่นเต้นไปอีกแบบดีนะ
บริเวณปากปล่องของภูเขาไฟ มีสะพานเพื่อให้เราได้ชมวิวปากปล่องภูเขาไฟจากด้านบน ภูเขาไฟกระโดงมีอายุประมาณ 3 แสนถึง 9 แสนปี สูงจากระดับน้ำทะเล 265 เมตร และเป็นภูเขาไฟที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ แต่ไม่ต้องกลัวครับ มันดับสนิทแล้ว คงไม่สามารถปะทุระหว่างที่เราไปดูได้แน่ๆ
แหม่...มาคล้องอย่างกับประเทศเกาหลี
มีต่อนะคะ รอชมคอนเทนหน้า
ขอขอบคุณ http://pantip.com/topic/33835830