เมื่อ 4 ปีก่อนเคยขึ้นไปเยือนที่นั่นกับเพื่อน ๆ เหมารถตู้พร้อมกับจ้างพลขับ แล้วก็ยกโขยงพากันไป 10 กว่าคน จากกรุงเทพฯ ไปถึงเพชรบูรณ์
สุดท้ายก็มาถึงภูทับเบิกในช่วงเย็น ซึ่งช่วงที่ไปในตอนนั้นเป็นช่วงเดือนธันวาคม แน่นอนว่าด้านบนที่ลานกลางเต็นท์ล้วนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ต่างกระจายกลางเต็นท์พักค้างแรมตามจุดต่าง ๆ ถึงแม้ว่ายังพอจะมีที่ว่างให้เราอยู่บ้าง แต่เราก็รู้สึกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ณ เวลานั้นมันค่อนข้างมากเกินไป เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนที่เราเพิ่งมาถึงแล้วขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดิน บนนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่อยู่เต็มลาน วุ่นวายกับการหามุมถ่ายภาพ ซึ่งสิ่งที่เห็นทำให้พวกเราคาดหวังเอาไว้ว่า ในปีต่อ ๆ ไปจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดน้อยลงกว่านี้ ส่วนตัวของเราเองคงมาที่นี่เป็นครั้งแรก และก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
สิ่งที่เราคาดหวังจะให้เกิดขึ้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย แต่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เราคงเคยได้ข่าวการจราจรติดขัดยาวเหยียดบนเส้นทางขึ้น-ลงเขาที่ภูทับเบิก แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นคือนักท่องเที่ยวล้วนเสียสุขภาพจิต ที่มาเที่ยวพักผ่อนทั้งทีแต่ต้องมาเจอกับปัญหารถติดแบบนี้ และในขณะเดียวกันชาวบ้านในละแวกนั้นก็พลอยได้รับความเดือดร้อน ที่ไม่อาจใช้เส้นทางถนนในย่านชุมชนของพวกเขาได้สะดวก
ถึงแม้วิวข้างบนจะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม และถ้าเราตัดปัญหารถติดออกไปได้ ที่นี่ถือว่าง่ายต่อการเดินทางมาก ๆ เนื่องจากเราแค่ขับรถขึ้นมา พอถึงจุดกลางเต็นท์แล้วก็เปิดท้ายขนของลงไปสำหรับนอนค้างแรมได้ทันที และความง่ายแบบนี้เอง บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่ทำให้ภูทับเบิกกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่ถูกลดแรงดึงดูดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
การจำกัดนักท่องเที่ยวต่อวัน แบบเดียวกับที่สถานที่ท่องเที่ยวหลาย ๆ แห่งทำ คือหนึ่งในวิธีการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือเปล่าก็เท่านั้น หรือจะปล่อยให้เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน จนในท้ายที่สุดก็กลายเป็นลานกลางเต็นท์และพื้นที่รีสอร์ทธรรมดา ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าทางจิตใจใด ๆ ทั้งสิ้น